วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

10 สุดยอดความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับ กระต่าย


รูปกระต่าย


10 ข้อ สุดยอดความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับกระต่าย ที่คุณอาจฆ่าชีวิตน้อยๆโดยที่ไม่รู้ตัว
โดย คุณ k3v1n : pantip.com


         ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อย เริ่มต้น พ.ศ.ใหม่ ด้วยการหาซื้อ กระต่ายน้อยน่ารัก เป็นของขวัญของฝาก เพื่อนสนิท ญาติมิตร และคนที่รัก เพื่อเสริมมงคล และเป็นสัตว์นำโชคในปีเถาะ 2554 โดยหารู้ไม่ว่า กระต่ายน้อย นั้นหนา ไม่ใช่สัตว์ที่คิดจะเลี้ยง ก็เลี้ยงได้ง่าย ๆ เพราะมันเสี่ยงตายสูง หากไม่เรียนรู้วิธีการเลี้ยง กระต่าย ที่ถูกต้องเสียก่อน

         นอกจากนี้ คนจำนวนมาก ยังมีความเชื่อผิด ๆ กับกระต่าย จนทำให้น้องกระต่ายมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ต้องจากโลกไปก่อนวัยอันควร วันนี้เราจึงนำเกร็ดความรู้ การเลี้ยงกระต่ายมาฝากกันค่ะ

1. กระต่ายเลี้ยงง่าย เหมาะสำหรับซื้อให้เด็กมาเลี้ยงเล่น


รูปกระต่าย

          การซื้อกระต่ายให้เด็กเลี้ยงเล่น คือการทรมานสัตว์ เด็ก ๆ ส่วนมากมักไม่รู้วิธีดูแลกระต่าย ไม่รู้วิธีเล่นกับกระต่ายอย่างอ่อนโยน และอยากได้สัตว์ที่เอามาอุ้มเล่นกอดเล่นได้ แต่กระต่ายส่วนมากเป็นสัตว์ที่บอบบางมาก ๆ เป็นสัตว์ที่ถูกล่า การกระทำรุนแรงกับเขาเพียงนิดเดียวจะทำให้กระต่ายไม่ไว้ใจคนและเครียด แม้กระต่ายบางตัวจะยอมให้อุ้ม แต่บางตัวก็ไม่ยอมให้อุ้ม

          สัญชาตญาณของกระต่าย คือ อยากอยู่กับพื้น อยู่ในโพรงที่เขารู้สึกปลอดภัยมากกว่า ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ที่ให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระต่าย และคอยไม่ให้เด็กแกล้งกระต่าย การซื้อกระต่ายเป็นเพื่อนให้เด็กโดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นอะไรที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง


รูปกระต่าย

2.กระต่ายอึเหม็น

          อึของกระต่ายปกติจะไม่เหม็น ที่เหม็นคือฉี่ของกระต่าย จริง ๆ แล้ว เราสามารถฝึกกระต่ายให้เข้าห้องน้ำเป็นที่เป็นทางได้ โดยเขาอาจจะมีมุมห้องน้ำที่เขาชอบ(อาจจะมีสองสามมุม) เราแค่เอาห้องน้ำกระต่ายไปวางไว้ เขาก็จะจำกลิ่นและเข้าห้องน้ำได้เป็นที่เป็นทาง แต่ที่ไม่ควรทำคือเอาห้องน้ำของแมวที่มีสารดับกลิ่นมาใช้กับกระต่าย ถ้าจะรองก็ควรใช้แค่ขี้เลื่อย หรือหนังสือพิมพ์แทน


3. กระต่ายเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ราคาถูก

          การเลี้ยงกระต่ายไม่เหมือนเลี้ยงปลาหรือหนูแฮมสเตอร์ ค่าตัวของน้องเขาอาจแค่ไม่กี่ร้อยถึงหลักพันบาทเท่านั้น แต่ค่าดูแลรักษานั้นสูงกว่ามาก ๆ เช่น ค่าอุปกรณ์ อาหาร ค่าหมอ ฯลฯ นอกจากนี้คือ ค่าสิ่งของที่น้องเขาอาจไปทำลาย เนื่องจากกระต่ายมีนิสัยที่ห้ามไม่ได้คือ ชอบขุด และชอบแทะ เป็นเหมือนกันทุกตัว สายคอมพิวเตอร์ สายไฟ ฯลฯ ทั้งหมดต้องเก็บซ่อนให้พ้นฟันกระต่าย


รูปกระต่าย

4. หิ้วด้วยหู

          กระต่ายน้อยของคุณไม่ใช่ Bug Bunny ! หูของกระต่ายเป็นบริเวณที่อ่อนไหวมาก ๆ การที่หิ้วหูแล้วน้องเค้าไม่ร้อง ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เจ็บ

          การหิ้วหูอาจทำให้เจ็บถึงตายได้....ย้ำอีกครั้ง ห้าม หิ้ว หู กระต่าย เป็น อัน ขาด!!

          สำหรับวิธีอุ้มที่ถูกวิธีคือ เอามือดึงบริเวณหลัง แล้วเอามือพยุงก้นอีกข้างเพื่อช่วยรองรับน้ำหนัก หรืออาจใช้วิธีการช้อนใต้ท้องให้ขาหน้าอยู่ระหว่างนิ้วแล้วเอามืออีกข้างพยุงก้น โดยวิธีนี้เราอาจจะพอดึงเข้ามากอดได้ แล้วแต่นิสัยของกระต่าย


รูปกระต่าย

5. กระต่ายกินผักบุ้งกับแครอท เป็นอาหารหลัก

          อะไรที่กระต่ายกินเข้าไป ไม่ได้แปลว่ากินไปแล้วจะไม่มีปัญหา แครอทกินได้บ้าง แต่ผักบุ้ง ไม่สมควรเป็นอันขาด เพราะมียางสูง เขาไม่สามารถย่อยได้ กระต่ายเป็นสัตว์กินพืช แปลว่าไม่กินเนื้อสัตว์ (ต้องเขียนย้ำเพราะยังมีผู้เลี้ยงบางคนเอาเนื้อสัตว์ให้กิน)

          สำหรับอาหารที่มีแป้งสูง กินไม่ได้ทั้งนั้น เช่นมัน ขนม ผักบางชนิด แคลเซียมสูงเกินไป กระต่ายกินแล้วเป็นนิ่วได้ อาหารหลักที่ดีที่สุดสำหรับกระต่ายคือ หญ้า สามารถซื้อหญ้าแห้งตามร้านอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง หรืออาจจะเก็บหญ้าขนสดข้างทางนำมาล้างให้สะอาดก็ทำได้ ส่วนผักนั้นกินได้เป็นบางชนิด สำหรับบางชนิดนั้นไม่ดีต่อกระต่ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เกิดอาการท้องผูกหรือท้องเสีย ซึ่งเป็นอาการที่เป็นอันตรายถึงชีวิต แค่ให้อาหารผิด ลืมล้างผัก อาจทำให้ท้องเสียถึงตายได้ ดังนั้น ผู้เลี้ยงควรศึกษาเรื่องโภชนาการสำหรับกระต่ายก่อนอย่างยิ่ง


รูปกระต่าย


6. กระต่ายแคระ

          กระต่ายแคระตัวหนักไม่ถึงหนึ่งกิโลกรัมมีจริง คือพันธุ์ Netherland Dwarf หรือ ND สำหรับกระต่ายบ้านที่เอามาเลี้ยงพันธุ์เล็ก ๆ อีกสายพันธุ์คือ Holland Lop น้ำหนักอยู่ที่ประมาณหนึ่งกิโลกรัมปลาย ๆ ....อ้าว แล้วอันนี้เข้าใจผิดตรงไหน??

          กระต่ายที่วางกระจาดขายหรือใส่กรงเล็ก ๆ ขายตามตลาดนัดที่คนขายอ้างว่าเป็น "กระต่ายแคระ" ส่วนมากไม่ใช่ กระต่ายแคระจริง ๆ ราคาหลักร้อยไม่มีแน่นอน โดยมากจากฟาร์มราคาจะหลักพัน ซึ่งส่วนมากที่นำมาขายคือกระต่ายเด็ก.. หรือกระต่ายที่ไม่หย่านม โดยกระต่ายเหล่านี้มักจะถูกนำมาขายเมื่ออายุได้แค่เดือนเดียว ซึ่งยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่ต้องการ ร้อยละ 95 ของผู้ซื้อ เลี้ยงไม่รอด และกระต่ายจะตายภายในไม่กี่อาทิตย์ เชื่อว่ากระต่ายที่หลายคนแห่ไปซื้อกันช่วงปีใหม่ก็ติดโผในนี้ด้วย

          ถามว่าทำไมถึงยังมีขายอยู่?... คำตอบคือ เนื่องจากมี demand ก็ต้องมี supply ถ้าหยุดซื้อ.. ก็จะหยุดคนขายได้ เลิกซื้อนะครับ กระต่ายเด็ก


รูปกระต่าย

7.เลี้ยงกระต่ายต้องเลี้ยงเป็นคู่ เดี๋ยวน้องเค้าเหงา

          กระต่ายต้องการความรักตลอดเวลา สำหรับวิธีแสดงความรักของกระต่ายคือ การเลียมือ เข้ามาคลอเคลีย กระต่ายเป็นสัตว์ที่ชอบการสัมผัสมาก ๆ การที่เรามีเวลาให้เขาหนึ่งชั่วโมงต่อวัน แค่นี้ก็เพียงพอ เลี้ยงตัวเดียวก็ไม่เหงา

          จริง ๆ เคยอ่านบทความของฝรั่งเขาว่ากระต่ายมีแนวโน้มที่จะเข้ากับสัตว์อื่น(คน) ได้มากกว่ากระต่ายตัวอื่นด้วยซ้ำ เพราะกระต่ายบางทีมีการหวงพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผู้ vs ตัวผู้ ส่วนการเลี้ยงกระต่ายร่วมกับสัตว์อื่น เช่น แมว และสุนัข แนะนำว่าต้องศึกษานิสัยของสัตว์เลี้ยงเดิมอย่างดีก่อน แล้วก็ต้องคอยเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะความผิดพลาดครั้งเดียวเป็นการสูญเสียได้

          ส่วนคนที่ซื้อกระต่ายเป็นคู่ แนะนำอย่างยิ่งว่าให้นำไปทำหมัน เพราะกระต่ายใช้เวลาตั้งท้องเพียงเดือนเดียวเพื่อคลอดลูกมา 4-5 ตัวต่อครอก การเลี้ยงโดยไม่ทำหมัน ปล่อย ๆ มีลูก.. จากสองตัวทวีคูณเป็นยี่สิบได้ภายในไม่กี่เดือน ดังนั้น คิดจะเลี้ยง คิดจะรัก ต้องรู้จักป้องกันนะจ๊ะ


8. เลี้ยงไม่ไหวแล้ว ไปปล่อยป่าดีกว่า

          ต่อจากข้อ 7. ผู้เลี้ยงบางท่าน (คนใกล้ตัวก็มี) เลือกที่จะปล่อยกระต่าย ด้วยเหตุผลที่ว่าเลี้ยงไม่ไหว เบื่อ ไม่เห่อแล้ว ลูกออกมาเยอะเกิน ที่หอไม่ให้เลี้ยง (ไม่ถามก่อนฟะ?) ฯลฯ

          การปล่อยกระต่ายเข้าป่า = ฆ่ากระต่าย

          กระต่ายบ้าน (rabbit) ไม่เหมือนกระต่ายป่า (hare) สัญชาตญาณการเอาตัวรอดอะไรไม่ดีพอที่จะอยู่รอดในฝูงนักล่า ถึงอยู่รอดจากหมาแมวได้ ก็จะเจอกับปัญหาเรื่องอาหารการกิน ฯลฯ สำหรับกรณีที่ไม่ไหวจริง ๆ ให้ลองเสิร์จหาเกาะกระต่าย บึงฉวาก กันดูนะ


รูปกระต่าย


9. กระต่ายโง่ กินกับนอนเป็นอย่างเดียว

          จริง ๆ แล้วกระต่ายค่อนข้างฉลาดพอสมควร เพียงแต่ไม่ฉลาดประจบเอาใจเหมือนหมาแมว แต่มักจะฉลาดเอาตัวรอด ฉลาดที่จะหาอะไรให้ตัวเอง เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ที่มีโลกส่วนตัวสูง การจะฝึกให้ทำอะไรตามใจเจ้าของเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ถ้าไม่มีแรงจูงใจให้กับเขาเอง ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงกระต่ายหลายคนจะพบว่า กระต่ายจะมาหาเรา เมื่อเขาอยากมาหา เวลาที่เขาไม่อยากมาอ้อนเรา เรียกให้ตายยังไงเขาก็ไม่มา

          บางครั้งเขาอาจจะเข้าใจว่าเราอยากให้เขาทำอะไร แต่ในใจเขาอาจจะคิดว่า "แล้วไง แล้วฉันจะได้อะไร?" ...กระต่ายสามารถถูกฝึกให้เข้าห้องน้ำเป็นที่ได้ วิ่งขึ้นลงบันไดเป็น เปิดประตูเปิดกรงเอง บางตัวจำชื่อตัวเองได้ด้วยล่ะ


รูปกระต่าย

10. กระต่าย ตายง่าย.. อายุสั้น

          เป็นความเชื่อที่ผิด ส่วนหนึ่งมากจากผู้เลี้ยงกระต่ายเด็กแล้วไปไม่รอด ตายภายในไม่กี่วัน ส่วนผู้เลี้ยงกระต่ายอื่น ๆ ทั่วไป ที่อาจดูแลไม่ดี หรือไม่ได้ศึกษาข้อมูลเพียงพอ หรือเลี้ยงแบบตามใจ อาจจะอยู่ได้เพียง 3-4 ปี แต่อายุขัยของกระต่ายจริง ๆ คือ 8-12 ปี ถ้าเลี้ยงดูอย่างดี พาไปทำหมันเรียบร้อย ไม่เครียดไม่อะไร น้อง ๆ จะอยู่กับเราได้นาน

          ทั้งนี้ การเลี้ยงกระต่ายต้องอาศัยความเอาใจใส่ ความรัก และการสังเกตตลอดเวลา ความที่เป็นสัตว์ถูกล่า กระต่ายมักจะไม่แสดงอาการป่วยจนกว่าจะไม่ไหวจริง ๆ ในขณะเดียวกัน กระต่ายเป็นสัตว์ที่ไม่มีเสียงร้อง ไม่สามารถร้องอ้อน หรือส่งเสียงไม่สบายใจใด ๆ กระต่ายจะร้องได้ก็ต่อเมื่อทรมานสุด ๆ และเจ็บสุด ๆ เป็นเสียงก่อนตายเท่านั้น

          เพราะอย่างนี้กระมัง นักวิจัยถึงมักเอากระต่ายเป็นสัตว์ทดลองยา ดังนั้น...เมื่อรักจะเลี้ยงกระต่ายแล้ว ต้องดูแลให้สุดชีวิตด้วยนะจ๊ะ
 



ขอขอบคุณข้อมูลจาก  pantip.com

เที่ยวหาดเจ้าสำราญ ทะเลเมืองเพชรบุรี

 หาดเจ้าสำราญ

หาดเจ้าสำราญ


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ททท.

          เลื่องลือกันมานมนานว่าเป็นเมือง "ทะเลงาม น้ำทะเลใส" สำหรับ "เพชรบุรี" จังหวัดใดที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีชื่อเสียงมากมาย หลากหลายรูปแบบ ทั้งในด้านของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แต่วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ย้อนไปสัมผัสกับ หาดเจ้าสำราญ ชายหาดที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากตั้งแต่สมัยโบราณกันค่ะ...

          หาดเจ้าสำราญ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรี ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นชายหาดที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมาแต่สมัยโบราณ มีประวัติเล่ากันมาว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยเสด็จมาที่นี่พร้อมด้วย สมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงพอพระราชหฤทัยในความงามของหาดนี้มาก ทรงประทับแรมอยู่หลายวัน จนชาวบ้านเรียกหาดนี้ว่า "หาดเจ้าสำราญ"

          หาดเจ้าสำราญ เจริญถึงขีดสุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นหาดที่มีชื่อเสียงมากกว่าหาดอื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยทรงโปรดเกล้าให้สร้างค่ายหลวงขึ้นเรียกว่า "ค่ายหลวงบางทะลุ" ตามชื่อของตำบลบางทะลุ ที่เป็นที่ตั้งโดยมี "พระตำหนักบริเวณริมหาดแห่งนี้เรียกว่า "พระตำหนักหาดเจ้าสำราญ"

          แต่ภายหลังทรงหายจากพระประชวร ทรงได้เปลี่ยนชื่อตำบลเสียใหม่ ด้วยชื่อเดิมเห็นว่าไม่เป็นมงคล เป็น ตำบลหาดเจ้าสำราญ ตามชื่อของหาด แต่ต่อมาทรงได้ย้ายพระตำหนักไปยังจุดที่เป็น พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในปัจจุบัน เพราะ หาดเจ้าสำราญ มีแมลงวันชุม เนื่องจากพระตำหนักแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้หมู่บ้านชาวประมง ทำให้พระตำหนักแห่งนี้มีแมลงวันชุม จนพระองค์แอบได้ยินข้าราชบริพารในพระองค์บ่นว่า "หาดเจ้าสำราญแต่ข้าราชบริพารเบื่อ" อีกทั้งหาดแห่งนี้ยังขาดแคลนน้ำจืด จึงโปรดให้ย้ายไปในที่สุด

หาดเจ้าสำราญ

          หาดเจ้าสำราญ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าไปพักผ่อนแห่งหนึ่ง มีบรรยากาศที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย มีสัตว์ทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ทั้ง ปูเสฉวน หอย แมงกะพรุน มีที่พักพร้อม มีร้านสะดวกซื้ออยู่ใกล้เคียง สามารถลงเล่นน้ำได้ ในบริเวณใกล้เคียงมีหมู่บ้านชาวประมง ชายหาดแห่งนี้ทรายถูกพัดถมขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีทรายที่ละเอียดมากในส่วนของต้นหาด ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ต้องไปไกลมาก และมีความสวยงามมากแห่งหนึ่ง

การเดินทาง

          จากตัวเมืองเพชรบุรี ใช้เส้นทางเดียวกันกับหาดชะอำ ประมาณ 41 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปยังชายหาดชะอำ เมื่อเลี้ยวซ้ายแล้วประมาณ 500 เมตร จะมีแยกซ้ายไปหาดปึกเตียน หาดเจ้าสำราญ โดยจะมีป้ายบอกทางเขียนไว้ จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายไป ขับไปตามเส้นทาง จะมีป้ายบอกทางไปหาดปึกเตียน หาดเจ้าสำราญ ประมาณ 22 กิโลเมตร ท่านจะถึงหาดปึกเตียน โดยท่านจะต้องเลี้ยวขวาเข้าไปยังหาดปึกเตียน ประมาณ 2 กิโลเมตร ถ้าท่านจะไปหาดเจ้าสำราญ ไม่ต้องเลี้ยวขวาให้ขับตรงไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาไปยังหาดเจ้าสำราญ



 ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 

สั่ง โรงเรียนกวดวิชา ติดราคา


สั่ง "รร.กวดวิชา" ติดราคา (ไทยโพสต์)

        
ดัดหลังโรงเรียนกวดวิชาค้ากำไรเกินควร "ชินวรณ์" สั่ง สช.ล้อมคอก สั่งโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนนอกระบบติดประกาศค่าเล่าเรียนให้ผู้ปกครองทราบ หลังเจอปัญหาร้องเรียนเก็บแพงเกินจริง เตรียมเดินสายสุ่มตรวจเดือนหน้า พร้อมขู่หากใครไม่ทำตามอาจถึงขั้นถอนใบอนุญาต
         นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ เลขาธิการสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ที่มีนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้กำหนดมาตรการให้โรงเรียนกวดวิชาและโรงเรียนเอกชนนอกระบบ ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ดำเนินการดังนี้ การติดใบประกาศที่ได้รับอนุญาตการจัดตั้งจาก สช. ติดใบประกาศการเก็บค่าเล่าเรียน การดูแลเรื่องความปลอดภัยของอาคารสถานที่ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง ได้ทราบข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ หากโรงเรียนกวดวิชาและโรงเรียนนอกระบบใดไม่ดำเนินการตาม สช.ก็จะมีมาตรการตักเตือนและถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตได้ โดยปัจจุบันมีโรงเรียนทั้งสองประเภทประมาณกว่า 4,000 แห่ง เฉพาะโรงเรียนกวดวิชาจำนวน 1,425 แห่งทั่วประเทศ โดยอยู่ในกรุงเทพมหานครมากที่สุด

         เลขาธิการ กช.กล่าวต่อว่า ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ สช.จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปสุ่มตรวจโรงเรียนกวดวิชาและโรงเรียนนอกระบบทั่วประเทศว่าได้ดำเนินการตามมาตรการที่ สช.ได้แจ้งไปหรือไม่ ซึ่งตนขอให้ทุกแห่งปฏิบัติตามมาตรการ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาโรงเรียนกวดวิชาและโรงเรียนเอกชนนอกระบบมักจะไม่ได้ปิดประกาศให้ผู้ปกครองได้ทราบ เช่น อัตราค่าเล่าเรียน โดยตามระเบียบแล้วโรงเรียนต้องกำหนดอัตราค่าเล่าเรียนได้กำไรไม่เกิน 20% ของงบลงทุน หรือหากคิดเป็นอัตราค่าเล่าเรียนต่อชั่วโมงจะต้องมีอัตราไม่เกิน 200 บาท อย่างไรก็ตาม หากผู้ปกครองคนใดที่ไม่แน่ใจในโรงเรียนเอกชนนอกระบบหรือโรงเรียนกวดวิชา เช่น อัตราค่าเล่าเรียน ก็สามารถสอบถามมาได้ที่ สช. หรือหากไม่แน่ใจว่าสถาบันใดจดทะเบียนในสังกัด สช.หรือไม่ก็สอบมาได้เช่นกัน

         "เนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีสถาบันที่จัดตั้งขึ้นโดยขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ อาทิ สถาบันวิชาการต่างๆ แต่กลับมาแอบเปิดสอนในลักษณะทางวิชาการด้วย โดยตามระเบียบไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะต้องขออนุญาตจาก สช. ซึ่งหาก สช.ตรวจสอบพบก็จะถือว่าผิดกฎหมาย และจะแจ้งความดำเนินคดีต่อไป" นายชาญวิทย์กล่าว.




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ทุนกรมทางหลวง ปี 2554

ทุนการศึกษากรมทางหลวง ปี 2554

           กรมทางหลวงจะดำเนินการรับสมัครคัดเลือกข้าราชการเพื่อรับทุนกรมทางหลวง ประจำปีงบประมาณ 2554 ในสายงานวิศวกรรมโยธา และสายงานสนับสนุน ดังนี้

 1. ทุนที่รับสมัคร

          ทุนการศึกษาในประเทศ
          1.1 สายงานวิศวกรรมโยธา
          - ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทภายในประเทศ สาขาวิศวกรรมโยธาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจของกรมทางหลวง ทั้งภาคปกติและภาคพิเศษ ณ สถาบัน AIT หรือสถาบันการศึกษาของรัฐหรือเคยเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ

          - ทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกภายในประเทศ สาขาวิศวกรรมโยธาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจของกรมทางหลวง ณ สถาบัน AIT หรือสถาบันการศึกษาของรัฐหรือเคยเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ

          1.2 สายงานสนับสนุน
          - ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทภายในประเทศ สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตำแหน่งงานที่ปฏิบัติทั้งภาคปกติและภาคพิเศษ ณ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือสถาบันการศึกษาของรัฐหรือเคยเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐทุนการศึกษาต่างประเทศ

          1.3 สายงานวิศวกรรมโยธา
          - ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทหรือ เอก หรือโท-เอก ณ ต่างประเทศ สาขาวิศวกรรมโยธาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจของกรมทางหลวง ในมหาวิทยาลัยของรัฐ และเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.พ.

 2. ข้อผูกพันในการรับทุน
          2.1 ผู้ได้รับทุนทั้งทุนในประเทศและทุนต่างประเทศ จะต้องกลับมาปฏิบัติราชการในกรมทางหลวงเป็นระยะเวลาเท่ากับระยะเวลาที่ได้รับทุน

          2.2 กรณีผู้ได้รับทุน ไม่กลับมาปฏิบัติราชการชดใช้ทุนตามสัญญารับทุนกรมทางหลวง จะต้องชดใช้เงินทุนที่ได้รับไปแล้วทั้งสิ้นจำนวนหนึ่ง และชดใช้เงินอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับจำนวนเงินทุนที่ได้รับดังกล่าวให้เป็นเบี้ยปรับด้วย

          2.3 ในกรณีที่ลาศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศ หากไม่กลับมาปฏิบัติราชการชดใช้ ตามสัญญาว่าด้วยการลาไปศึกษาในและต่างประเทศ จะต้องชดใช้เงินเดือนและเงินอื่นใดที่ได้รับไป และชดใช้เงินอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับดังกล่าว ให้เป็นเบี้ยปรับด้วย

          2.4 ผู้ได้รับทุนทุกสาขาวิชาจะต้องจัดทำหัวข้อวิทยานิพนธ์ หรือหัวข้อวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานที่ปฏิบัติหรือเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมทางหลวง และส่งผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ให้กองฝึกอบรม จำนวน 1 ชุด

          2.5 สำหรับผู้รับทุนการศึกษาต่างประเทศ กรมฯ มีข้อผูกมัดต้องกลับมาปฏิบัติงานที่สำนักวิจัยและพัฒนางานทาง เป็นระยะเวลา 3 ปี จึงจะสามารถย้ายไปปฏิบัติงานในหน่วยอื่นภายในกรมฯ ได้
 3. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัครคัดเลือก
          3.1 เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกรมทางหลวง
         
          3.2 ปฏิบัติราชการในกรมทางหลวงมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่เริ่มศึกษาสำหรับทุนในประเทศ

          3.3 ปฏิบัติราชการในกรมทางหลวงมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันที่ออกเดินทางจากประเทศไทยไปศึกษาสำหรับทุนการศึกษาต่างประเทศ

          3.4 ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้าศึกษาต่อจากสถาบันการศึกษาในปีการศึกษา 2554 และสาขาวิชาที่จะศึกษาต่อจะต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับตำแหน่งและงานที่ปฏิบัติ

          3.5 เป็นผู้ซึ่งไม่เคยได้รับปริญญาโทหรือปริญญาเอกในสาขาหรือวิชาเอกเดียวกับทุนที่จะขอรับ

          3.6 เป็นผู้ที่ต้นสังกัดเห็นว่ามีความประพฤติดี ปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ อุทิศและเสียสละ สมควรจะได้รับการพัฒนาให้มีความรู้เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นกำลังสำคัญของหน่วยงาน

          3.7 กรณีสมัครรับทุนต่างประเทศ ต้องมีผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL ที่ได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 500 คะแนน( Paper - Based ) หรือ 173 ตะแนน ( Computer - Based ) หรือ 61 คะแนน ( Internet - Based ) ขึ้นไป หรือมีผล IELTS ที่ได้ไม่ต่ำกว่า 5.5 ขึ้นไป หรือมีผลคะแนนภาษาอังกฤษอื่นๆ ที่เทียบได้ไม่ต่ำกว่านี้ และมีสถานศึกษาตอบรับให้เข้าศึกษาโดยไม่มีเงื่อนไข หรือมีเงื่อนไขให้ศึกษาได้โดยเรียนภาษาอังกฤษปรับพื้นฐาน ( กรณีตอบรับให้เข้าศึกษาประกาศนียบัตรเพื่อดูผลการศึกษาก่อน จึงจะพิจารณาว่าสมควรจะให้เข้าเรียนหลักสูตรปกติ หรือไม่ จะไม่ได้รับการพิจารณาให้รับทุน )

          3.8 ก่อนได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่างประเทศ ต้องไปตรวจสุขภาพและอนามัยกับคณะกรรมการแพทย์ของ ก.พ. ตามวันเวลาและสถานที่ที่กำหนด ผลการตรวจสุขภาพ และอนามัยของคณะกรรมการแพทย์ของ ก.พ. ให้ถือเป็นที่สิ้นสุด จะไม่มีสิทธิขอให้ทบทวนแต่ประการใด

          3.9 ผู้ขอสมัครรับทุนการศึกษาต่างประเทศ ต้องหาสถานที่ศึกษาเอง และมีหน้าที่ที่ต้องตรวจสอบกับสำนักงาน ก.พ. ว่าสถานศึกษาที่จะเรียน ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.พ. หรือไม่
 4. การรับสมัครคัดเลือก

          ผู้ประสงค์จะสมัครคัดเลือกสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับการรับสมัครคัดเลือก และพิมพ์ใบสมัครที่ใช้ ในการสมัครได้ทางระบบ SmartDoc ( กองฝึกอบรม/ฝ่ายการศึกษาฯ ) โครงการรับสมัครคัดเลือกผู้รับทุนกรมทาง หลวง ประจำปี 2554 ) และเว็บไซต์ของกรมทางหลวง http://www.doh.go.th/

          4.1 เอกสารหลักฐานที่จะต้องยื่นพร้อมใบสมัครคัดเลือก
          (1) ใบสมัคร พร้อมติดรูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก และไม่สวมแว่นตาดำขนาด 1x1.5 นิ้ว ถ่ายไว้ไม่เกิน 1 ปี นับถึงวันที่สมัคร

          (2) สำเนาปริญญาบัตรพร้อมสำเนาระเบียนแสดงผลการเรียนตลอดหลักสูตร (Transcript of Records) ในระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโท จำนวน 1 ชุด

          (3) หนังสือตอบรับให้เข้าศึกษาจากสถาบันการศึกษา หรือประกาศรับนักศึกษาจากสถาบัน

          (4) รายละเอียดหลักสูตร (รายวิชาหลักที่ศึกษาในหลักสูตร และจำนวนหน่วยกิต)

          (5) คะแนนภาษาอังกฤษ สำหรับผู้รับทุนต่างประเทศ

          4.2 ในการสมัครคัดเลือก ผู้สมัครจะต้องตรวจสอบและรับรองตนเองว่ามีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดไว้จริง

          หากปรากฏภายหลังว่าผู้ใดมีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่ระบุ จะถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ขาดคุณสมบัติทันที และในกรณีที่ผู้สมัครคัดเลือกกรอกรายละเอียดในใบสมัครเป็นเท็จ กรมทางหลวงจะพิจารณาดำเนินการทางวินัยตามควร แก่กรณีต่อไป

 5. กำหนดการรับสมัคร
          ทุนการศึกษาในประเทศ
          (ช่วงที่ 1) ผู้สมัครรับทุนจะต้องส่งใบสมัครพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการสมัครอย่างครบถ้วนให้ กองฝึกอบรม ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2554
          (ช่วงที่ 2) ผู้สมัครรับทุนจะต้องส่งใบสมัครพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการสมัครอย่างครบถ้วนให้ กองฝึกอบรม ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2554 (กรณีมีทุนเหลือจากครั้งที่ 1)

         
ทุนการศึกษาต่างประเทศ
          (ช่วงที่ 1) ผู้สมัครรับทุนจะต้องส่งใบสมัครพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการสมัครอย่างครบถ้วนให้ กองฝึกอบรม ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2554

          (ช่วงที่ 2) ผู้สมัครรับทุนจะต้องส่งใบสมัครพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการสมัครอย่างครบถ้วนให้ กองฝึกอบรม ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2554 (กรณีมีทุนเหลือจากครั้งที่ 1)

 6. วิธีการคัดเลือกและเกณฑ์การตัดสิน

         
คณะกรรมการบริหารจัดการโครงการทุนการศึกษาสำหรับข้าราชการกรมทางหลวงจะเป็นผู้ทำหน้าที่พิจารณาคัดเลือกผู้มีสิทธิ์รับทุน โดยพิจารณาคัดเลือกจากข้อมูลในใบสมัครและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของผู้สมัคร และจะแจ้งประกาศรายชื่อผู้รับทุนให้ทุกหน่วยงานทราบทางระบบสารบรรณอิเล็คทรอนิกส์ และเว็บไซต์ของกรมทางหลวง http://www.doh.go.th/ ทั้งนี้ผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการจัดสรรทุนการศึกษาสำหรับข้าราชการกรมทางหลวง ถือเป็นที่สิ้นสุด


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
กรมทางหลวง

เมื่อเหมียวอาเจียน(ผิดปกติ)...ควรทำอย่างไรดี ?



เมื่อน้องเหมียวอ้วกๆๆ (Cat Magazine)
โดย สพ.ญ.ปิยกาญ โรหิตาคนี


          อาเจียนเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยในน้องแมว ซึ่งบางครั้ง อาจเป็นเรื่องปกติ เช่น อาเจียนหลังกินหญ้า หรือหลังจากเลียขนตัวเองเข้าไป แต่ในบางครั้ง อาการอาเจียนก็อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติในร่างกายได้เช่นกัน

          อาการอาเจียน เกิดจากความผิดปกติของทางเดินอาหาร ทำให้เกิดการขย้อนเอาสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารกลับออกมาทางปาก อาจเกิดได้จากการกินอาหารเยอะเกินไป กินเร็วเกินไป กินของที่ย่อยยากลงไป กินอาหารหลากหลายประเภทเกินไป หรือกินของเน่าเสียเข้าไป ซึ่งอาการอาจไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ แต่นอกเหนือจากนี้ อาจเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างเช่น โรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร มีพยาธิภายใน โรคไต โรคตับ โรคมะเร็ง หรือโรคเบาหวาน เป็นต้น

          ทั้งนี้ หากแมวมีอาการอาเจียนแค่ครั้งเดียว และยังคงวิ่งเล่นร่าเริงสนุกสนานได้ตามปกติ ก็คงไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะอาการอาเจียนนั้นอาจเกิดจากสาเหตุธรรมดา ๆ ที่กล่าวไป แล้วและหายไปได้เอง

          ถ้าแมวมีอาการอาเจียนและเราพอที่จะทราบถึงสาเหตุ เช่น เกิดหลังจากการเปลี่ยนอาหาร หรือแมวไปกินใบไม้หรือต้นไม้บางอย่างแล้วอาเจียน ก็ให้กำจัดสาเหตุนั้นออกไป

          แต่ถ้าแมวมีอาการอาเจียนหลายครั้ง ซึม เบื่ออาหาร หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรจะรีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและช็อคได้

การตรวจวินิจฉัย

          เริ่มจากการสอบถามประวัติทั่วไป เช่น การกินอาหาร การฉีดวัคซีน การถ่ายพยาธิ ความถี่ของอาการอาเจียน และลักษณะของอาเจียน เป็นต้น ร่วมกับการตรวจร่างกาย คลำช่องท้องว่ามีอาการปวดเกร็งหรือมีก้อนผิดปกติในช่องท้องหรือไม่ ตรวจเลือดและปัสสาวะ ตรวจอุจจาระว่ามีไข่พยาธิหรือมีเลือดปนหรือไม่ นอกเหนือจากนี้ อาจมีการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น เอ็กซเรย์ อัลตร้าซาวนด์หรือส่องกล้อง ในรายที่มีความซับซ้อนของโรคเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการอาเจียนต่อไป

การรักษา

          รักษาให้ตรงตามสาเหตุที่ทำให้อาเจียน สำหรับแมวที่มีอาการอาเจียน แต่ยังร่าเริงดี และไม่มีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย อาจให้เพียงยาแก้อาเจียน หรือให้น้ำเกลือทางใต้ผิวหนัง และสังเกตอาการต่อที่บ้าน แต่ในแมวที่มีอาการอาเจียนร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย เบื่ออาหาร ควรจะต้องอยู่ในความดูแลของคุณหมอก่อนภายใน 24 ชม. โดยงดน้ำงดอาหาร เปลี่ยนเป็นให้ยา ให้น้ำเกลือ ให้สารอาหารและแร่ธาตุทางเส้นเลือดแทน

          ถ้าน้องเหมียวมีอาการดีขึ้นแล้ว สามารถกลับบ้านได้ เจ้าของก็ควรจะให้ยาตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัดและตรงต่อเวลา ค่อย ๆ ลองป้อนน้ำให้น้องเหมียวกินทีละนิด ๆ ถ้าไม่มีอาการอาเจียนอีกก็ลองให้น้องเหมียวกินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม เนือ้สัตว์ไม่ติดมัน หรืออาหารกระป๋องสำเร็จรูป สำหรับแมวป่วย ถ้าไม่มีอาการอาเจียนภายใน 1-2 วัน จึงเริ่มให้กลับมากินอาหารตามปกติ แต่ถ้าอาเจียนอีก จะต้องรีบกลับไปปรึกษาคุณหมอทันที

การป้องกัน

          การป้องกันไม่ให้น้องเหมียวอาเจียน อาจทำได้โดยระวังไม่ให้น้องเหมียวมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งที่อาจเป็นพิษหรือกินสิ่งแปลกปลอม และหมั่นคอยสังกตการกินอาหารและสุขภาพโดยทั่วไป ฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้ครบถ้วนและถ่ายพยาธิเป็นประจำทุก ๆ 3 เดือน

ขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม

มงคลเสริมบารมี รับเทศกาลตรุษจีน

วันตรุษจีน เทศกาลตรุษจีน

มงคลเสริมบารมี รับเทศกาลตรุษจีน  (ไทยโพสต์)

          ช่วงเทศกาลตรุษจีนทุกปี ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของลูกหลานเชื้อสายจีนที่จะเตรียมตัวพร้อมดำเนินชีวิตให้ดีเพื่อเข้าสู่ปีใหม่ คำอวยพร
"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้"          

         
จึงเป็นคำอวยพรให้เงินทองเพิ่มพูน สุขภาพแข็งแรง เสริมสิริมงคลให้ชีวิตเฮงกันแบบยกครัวตลอดปี การก้าวย่างสู่ปีใหม่ ทุกบ้านจึงต้องเตรียมปัดกวาดเช็ดถูทุกห้องหับให้สะอาดหมดจด เพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคล พร้อมเตรียมของไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษเพื่อวอนขอโชควาสนา เพื่อเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน โดยนับถอยหลังจากวันจ่ายที่เป็นวันจับจ่ายของไหว้ และเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อใช้ในวันไหว้

         
เริ่มด้วยการไหว้เจ้าที่ (เช้า) บรรพบุรุษ (สาย) สัมภเวสี (บ่าย) และเทพเจ้าแห่งโชคลาภหรือ "ไฉสิงเอี๊ย" (กลางคืน) เพื่อเข้าสู่วันถือ หรือวันปีใหม่ (วันชิวอิค) ที่ทุกคนต้องคิดดี  ทำดี ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดแต่สิ่งดีๆ รวมทั้งติดอักษรมงคลสีสดที่ประตูบ้านด้วย เพื่อกวักมือเรียกความเฮงเข้าบ้าน

         
อาจารย์วิศิษฐ์ เตชะเกษม ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์จีน กล่าวว่า การไหว้ในทุกช่วงเวลาต่างสำคัญทั้งนั้น แถมต้องอาศัยความตั้งใจและจิตใจที่ผ่องแผ้ว โดยเฉพาะการไหว้ไฉสิงเอี๊ย ที่นิยมไหว้เทพแห่งโชคลาภในคืนวันสุดท้ายคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาแรกสุดของวันใหม่ปีใหม่ ถือเป็นประเพณีสำคัญขาดมิได้

         
ประเพณีการไหว้นั้น ชาวจีนแทบทุกบ้านจะขะมักเขม้นเตรียมจัดของ อาหารชั้นเลิศ ผลไม้ชื่อมงคล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมจัดข้าวของบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ เรียงตามลำดับความสำคัญตามชนิดของอาหาร ซึ่งอาหารแต่ละชนิดจะมีเสียงเรียกพ้องกับเสียงของคำมงคลทั้งสิ้น

         
การไหว้ "ไฉสิงเอี๊ย" ไม่ควรขาดผลไม้มงคล 5 ชนิด ได้แก่ องุ่น ลูกพลับ ส้ม ทับทิม และกล้วยหอม  อาหารเจ  ได้แก่  วุ้นเส้น ดอกไม้จีน เห็ดหูหนู สาหร่าย เห็ดหอม และของหวานได้แก่ บัวลอย ขนมแห้งข้าวเหนียว และขนมจันอับ ที่สำคัญ กระดาษเงินกระดาษทองเพื่อบูชาขอความรุ่งเรืองจากเทพเจ้าแห่งโชคลาภ

         
การเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนตามธรรมเนียมจะจัดให้อยู่ในระยะ 15 วัน โดยมีอีกวันที่มีเกร็ดน่าสนใจ คือหลังจากวันขึ้นปีใหม่ 7 วัน หรือปีนี้ตรงกับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ จะถือเป็นวัน "ชิก เอี่ย ฉ่าย" หรือวันผักเจ็ดชนิด ซึ่งชาวจีนจะนิยมบริโภคผัก 7 ชนิดเพื่อเสริมสิริมงคลให้ชีวิตรุ่งเรือง เสริมบารมี

         
ผักที่ว่าทั้ง 7 ชนิดเป็นผักที่หาได้ง่าย เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ ผักกวางตุ้ง แสดงถึงความรุ่งเรืองเฟื่องฟู ผักชุมฉ่าย ผักแห่งการเก็บออม กะหล่ำปลี แสดงถึงความมั่นคงเป็นปึกแผ่น ขึ้นช่าย ผักในความเชื่อแห่งความเหลือเฟือในทรัพย์ ต้นกระเทียม เพื่อมีเงินทองให้นับตลอด ไชเท้า ผักที่นำมาซึ่งโชคลาภ และผักกาดขาว แสดงถึงความบริสุทธิ์

วันตรุษจีน เทศกาลตรุษจีน


          นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการความสบายใจตลอดปี ก็ควรแก้เคล็ดตามปีเกิดด้วยการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสริมสิริมงคล พร้อมบูชาเทพเจ้าประจำนักษัตรของตัวเอง ดังนี้ ...

          ปีชวด บูชาเทพไฉ ซิ้ง-ไท้ซุ้ย ขจัดเคราะห์ภัย

          ปีฉลู   บูชาเทพฮกซิ้ง วาสนาบารมี

          ปีขาล บูชาเจ้าแม่ทับทิม กระตุ้นกิจการงานการค้าให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง
           ปีเถาะ บูชาเทพไฉ ซิ้ง ประทานโภคทรัพย์

          ปีมะโรง บูชาพระตรีรัตนโพธิสัตว์ พัฒนากิจการงานการค้าให้ก้าวหน้า

          ปีมะเส็ง บูชาเจ้าพ่อเสือ ช่วยขจัดเหตุวิบัติ บังเกิดทรัพย์สมมุติมงคลสถาน

          ปีมะเมีย บูชาเทพเจ้ากวนอู สยบมาร ช่วยสลายกำลังต่อสู้ปะทะกันของปีเกิดท่านและปีจร

          ปีมะแม บูชาเทพ ฮก ลก ซิ่ว มั่งคั่งทรัพย์อนันต์

          ปีวอก บูชาพระตี่จั่งอ๊วงประทับสิงโต เพิ่มพูนสิ่งอันเป็นสิริมงคล

          ปีระกา บูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมทรงมังกร ปัดเป่าความทุกข์ยากเดือดร้อน

          ปีจอ บูชาพระอรหันต์จี้กงคุ้มกันภัย

          ปีกุน บูชาเทพสังกัจจายน์ประทานอำนาจลาภผล

ขอขอบคุณข้อมูลจาก